หลายคนคงเคยอ่านเรื่องราวของข้าพเจ้าที่เกี่ยวกับแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ในเวลานี้ข้าพเจ้าก็ยังอยากจะพูดว่าแผนการนั้นยังคงยิ่งใหญ่เสมอสาหรับข้าพเจ้า ในปี 2008 ที่ข้าพระเจ้าได้ตัดสินใจก้าวเดินออกมาจากบ้านเกิดเมืองนอนด้วยการเชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้า โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องพบเจออะไรบ้างในวันข้างหน้า รู้แค่เพียงว่าเมื่อเชื่อฟังในเสียงเล็กๆๆที่เรียกให้ออกมาทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
ด่านแรกที่ต้องเจอ คือเรื่องที่พัก ในสองเดือนแรกข้าพเจ้าต้องเร่ร่อนนอนแรมตามที่ต่างๆๆ บ้านเช่าของเพื่อนผู้รับใช้ที่มีผู้คนมากมายพักอยู่ร่วมกัน ข้าพเจ้าแสนจะอึดอัด เพราะความเกรงใจ และพยายามตะเวนหาบ้านเช่าท่ามกลางสายฝน วันแล้ววันเล่าจนข้าพเจ้าท้อใจ และเริ่มสงสัยว่าพระเจ้าทรงนามารับใช้ที่นี่จริงๆๆหรือเปล่า แต่เมื่อนั่งคิดทบทวนและอธิษฐานกับพระองค์ ก็ได้ยินเสียงเล็กๆว่า “นี่เพียงบททดสอบเล็กๆๆเท่านั้น ก้าวต่อไป” พระองค์บอก ข้าพระเจ้าจาต้องเชื่อฟัง และในที่สุดก็ได้ห้องเช่าหลังเล็กๆ แต่พอเริ่มรับใช้ ก็มีผู้คนมากมายเข้ามาในห้องเช่าทุกๆๆวัน ห้องเช่านั้นก็แคบลงทุกวันจนไม่มีที่จะเดิน ข้าพเจ้าเริ่มอธิษฐานอีกครั้ง “พระเจ้า ข้าพระองค์จะทำยังไงดี” ห้องเช่าเล็กๆๆแต่มีผู้คนมามากมายเป็นเป้าสายตา และขโมยก็ฉวยโอกาสขโมยของบ่อยครั้ง และเริ่มไม่สะดวกในการรับใช้ “ต้องย้ายอีกแล้วเหรอ” ข้าพเจ้าถามพระเจ้า เพิ่งย้ายเข้ามาได้ปีเดียวเองนะ แต่เสียงเล็กๆๆก็ดังมาอีกว่า “ก้าวต่อไป” ข้าพเจ้าจาต้องเชื่อฟัง “บ้าน” โอ้..สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใหญ่และยากมาก เพราะต้องจ่ายค่าเช่าเป็นปี และราคาสูงลิ่ว “ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย และบ้านเช่าฉันจะหาในเมืองได้อย่างไร ขนาดห้องเช่าก็หายากแสนยาก”.
ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ได้เจอบ้านหลังใหญ่และสร้างเสร็จใหม่ๆสองชั้น และอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เรารับผิดชอบ คาถามแรกกับพระเจ้าตอนนั้นคือว่า “พระองค์มีแผนการยังไงกับลูกกันแน่ ได้เจอบ้าน และผู้คนที่จะอยู่ด้วยก็มีพร้อม แต่เงินค่าเช่าละพระองค์ ลูกจะเอาที่ไหนมามันแพงเหลือเกิน” ปีละ 70,000 บาทและต้องจ่าย 2 ปีนั่นหมายความว่า 140,000 บาท ช่วงเวลานั้นข้าพระเจ้าต้องเดินด้วยเข่า และอาบน้าตาจริงๆ ในที่สุดพระเจ้าก็ฟังเสียงอ้อนวอน เงินสนับสนุนก็มาทันผ่านทำงเพื่อนๆ และกลุ่มคนที่รักพระเจ้าถวายมาให้ทันเวลาที่เราสัญญาจะจ่าย ขอบพระคุณพระเจ้า
การรับใช้กาลังสนุก (หมายความว่าทั้งต่อสู้กับความมืด ต่อสู้กับสังคม และต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองที่เริ่มรับมือกับสิ่งต่างๆๆไม่ไหว ทุกอย่างดูเหมือนว่าเกินกาลัง ทั้งๆๆที่มีทีมงานที่ดี มีนักศึกษาผู้เชื่อที่เคียงข้าง ทำไมยังรู้สึกโดดเดี่ยว) เสียงเล็กๆๆของพระองค์ดังมาอีกว่า “ต้องแต่งงาน” “โอ้ย….พระเจ้าขา หาบ้านก็ว่ายากมากพอแล้ว จะให้ลูกแต่งงานมันเป็นไปไม่ได้” แต่เสียงเล็กๆๆของพระองค์ก็ดังมาอีก “เราทำสิ่งใหญ่สาหรับเจ้ามาตลอดเจ้าไม่เห็นหรือ” ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าได้ต้อนรับเราเข้ามาในชีวิต ลองนับดูนะว่ามีอะไรที่ยากเกินไปสาหรับเรา โอ…พระเจ้าแน่นอนสาหรับพระองค์ไม่มีสิ่งใดยาก แต่สาหรับลูกที่มีอายุมากแล้ว หน้าตาไม่สวยเลย และที่สาคัญลูกเคยมีประสบการณ์ที่อกหักมาแล้ว ลูกไม่กล้าคิดเรื่องนี้หรอก แต่พระเจ้าก็ยังยืนยันและบอกกับข้าพเจ้าว่า “เราจัดเตรียมไว้แล้วผู้ชายที่เจ้าคิดไม่ถึง” และการแต่งงานของเจ้าจะเป็นเหตุให้หลายคนได้เห็นว่าเรารักเจ้าเพียงได
ข้าพเจ้าไม่อาจต้านทำนได้ รับข้อเสนอของพระเจ้ามาอธิษฐานแบบเงียบๆๆรอคอยว่าใครคือคนที่พระองค์เตรียมในที่สุดเมื่อปี 2010 ผู้ชายคนที่พระเจ้าเตรียมไว้ได้ขอข้าพเจ้าแต่งงาน ในวันนั้นทำให้ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะเขาคือคนที่ใกล้ชิดข้าพเจ้า ร่วมทีมเดียวกัน และเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาที่ดีมากๆๆ ข้าพเจ้าถามเขาว่าแน่ใจหรือที่อยากจะแต่งงานกับพี่ เพราะข้าพเจ้าแก่กว่าเขา 5 ปี สิ่งที่เขาบอกคือ กว่าเขาจะมั่นใจเขาได้ต่อสู้กับเสียงเล็กๆๆนี้นานมาก เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่สเปกของเขา แต่เพราะความถ่อมใจเชื่อฟังพระเจ้าของเขาทำให้เราตกลงที่จะแต่งงานกัน แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อเรามีโปรเจคไปที่บ้านของเขาเพื่อนาความรักของพระเจ้าไปสู่ชุมชน ทีมเราถูกจับและควบคุมตัวไว้ที่สถานีตารวจหนึ่งคืน จากนั้นก็ปล่อยตัวนักศึกษา เหลือผู้นาไว้ 5 คนต้องอยู่ห้องขัง ในเวลานั้นข้าพเจ้าได้เห็นการปกป้องของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้า เพราะคุณพ่อของข้าพเจ้าไม่สบายมากข้าพเจ้าไม่ได้ไปร่วมโปรเจคด้วย ทีแรกข้าพเจ้าก็คิดน้อยใจพระองค์ ว่าทำไมต้องให้พ่อของข้าพเจ้าไม่สบายช่วงนี้ด้วย เพราะข้าพเจ้าอยากไปโปรเจคตัวนี้มาก ข้าพเจ้าจาเป็นต้องเลือกที่จะดูแลพ่อที่เมืองไทย แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ถึงได้เข้าใจในการปกป้องของพระองค์ ที่ข้าพเจ้าไม่ต้องถูกจับ ไม่งั้นคงต้องกลับเข้าประเทศนี้อีกไม่ได้เป็นแน่.
พระเจ้าได้ให้บททดสอบที่แข็งขึ้นเรื่อยๆๆในการรับใช้ ตลอดเวลาหนึ่งเดือนเต็มที่คู่หมั้นของข้าพเจ้าอยู่ที่ห้องขัง และข้าพเจ้าต้องขับรถเป็นระยะทำงครึ่งวันเพื่อนาอาหาร ยา และ น้าไปให้ ตื่นแต่เช้าเตรียมอาหาร และขับรถไป-กลับ ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า การเดินกับพระเจ้ามันไม่ง่ายเลย ข้าพเจ้านึกถึง ชีวิตของอับราฮัมที่เชื่อฟังการทรงเรียก โมเสสที่เป็นผู้นาแบบไม่พร้อมและกลัวต่ออานาจของฟาโรห์ และ อาจารย์เปาโลที่เผชิญกับเรือแตก การข่มเหง และการถูกจองจา เขาเหล่านั้นยังผ่านมาได้ และเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ ช่วงเวลาที่ขับรถไปในแต่ละวันก็ได้ยินเสียงเล็กๆๆตลอดเวลาว่า ถ้าพระเจ้าจะให้บทเรียนนี้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมหรือ ข้าพเจ้าถึงกับน้าตาไหลเมื่อต้องตอบเสียงเล็กๆๆนั้นว่า “ยอม” ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นของพระองค์ตั้งแต่ยังไม่เกิดมาในโลกนี้ พระองค์มีพระประสงค์ให้ลูกเผชิญกับอะไรก็ได้ แต่ขอให้เผชิญร่วมกับพระองค์ ลูกไม่กลัว.ข้าพเจ้าตอบพระเจ้าทุกวันว่า “สุดแต่น้าพระทัยพระองค์”
สุดท้ายเมื่อครบหนึ่งเดือนทุกคนก็ถูกปล่อยตัว และข้าพเจ้าก็ได้แต่งงานกับผู้ชายที่พระองค์จัดเตรียมให้ในปี 2011 ครอบครัวของเราได้เห็นการทรงนาหลายอย่าง ทั้งการรับใช้ และชีวิตส่วนตัว พระเจ้าได้อวยพรให้เรามีลูกที่น่ารักด้วยกันสองคน และพระองค์ยังคงตรัสกับครอบครัวของเราด้วยเสียงเล็กๆๆของพระองค์เสมอว่า “ก้าวต่อไป”